การดำรงชีวิตของไลเคน
1. พื้นทียึดเกาะอาศัย (substrate)
ไลเคนสามารถเติบโตอยู่บนพื้นที่เกาะอาศัย (substrate) ในธรรมชาติได้อย่างหลากหลายโดยที่ไม่ทำอันตรายใด ๆ ต่อพื้นที่ยึดเกาะเหล่านั้น การดำรงชีวิตแบบนี้เรียกว่า อิงอาศัย หรือ epiphyte ยกเว้นไลเคนบางชนิดดำรงชีวิตแบบปรสิต หรือ parasite ด้วยการเติบโตอยู่บนไลเคนชนิดอื่น เช่น Rhizocarpon santessonii (Timdal, 1986) เป็นต้น ไลเคนส่วนใหญ่พบเติบโตอยู่บนเปลือกไม้ เรียกว่า corticolous lichen บางชนิดเติบโตบบนหิน เรียกว่า saxicolous lichen บางชนิดเติบโตบนดิน เรียกว่า tericolous lichen บางชนิดเติบโตบนใบ เรียกว่า foliicolous lichen บางชนิดเติบโตบนมอสส์ เรียกว่า muscicolous lichen และบางชนิดเติบโตในชั้นหิน เรียกว่า lignicolous lichen (ดังภาพด้านล่าง) นอกจากนี้ไลเคนยังสามารถเติบโตบนวัสดุสังเคราะห์ได้อีกด้วย เช่น ขวด กระเบื้อง แผ่นโลหะ แผ่นยางสังเคราะห์ เซรามิก เป็นต้น ดังภาพด้านล่าง
Corticolous lichen |
Saxicolous lichen |
Tericolous lichen |
Foliicolous lichen |
ไลเคนบนขวด |
ไลเคนบนแผ่นคอนกรีต |
2. รูปแบบการเติบโต (growth form)
ไลเคนโดยทั่วไปเติบโตอยู่บนบก (terrestrial lichen) อย่างไรก็ตามไลเคนบางชนิดสามารถเติบโตได้ในน้ำ (aquatic lichen) หรือครึ่งบกครึ่งน้ำ (semi-aquatic lichen) เช่น บางชนิดของสกุล Verrucaria, Dermatocarpon, Leptogium, Peltigera เป็นต้น (Glavich, 2009; Monnet et al., 2005; McCarthy and Johnson, 1997; McCarthy, 1995) รูปแบบการเติบโตของไลเคนเหล่านี้สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ แต่รูปแบบหลัก ๆ ที่พบเห็นกันโดยทั่วไปมีดังต่อไปนี้
1. ครัสโตส (crustose) ไลเคนในกลุ่มนี้มีลักษณะเป็นแบบฝุ่นผงหรือคล้ายรอยคราบ ยึดติดแน่นกับพื้นที่ยึดเกาะอาศัย เป็นกลุ่มของไลเคนที่พบมากที่สุด มีความหลากหลายมากที่สุด และพบเติบโตในทุกบริเวณของโลกแม้แต่ในบริเวณที่มีมลพิษทางอากาศสูง (มลพิษทางอากาศคือปัจจัยจำกัดการเติบโตของไลเคน) ไลเคนในกลุ่มนี้สร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศทุกรูปแบบ ได้แก่ แอโพทิเชียแบบจาน (disc-like apothecia), แอโพทิเชียแบบริมฝีปากหรือแบบลายเส้น (lirelate apothecia) และ เพอริทิเชีย (perithecia) นอกจากนี้บางชนิดอาจสร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เช่น พิกนีเดียม (pycnidium) เป็นต้น
2. โฟลิโอส (foliose) กลุ่มนี้มีลักษณะคล้ายแผ่นใบ ยึดติดกับพื้นที่เกาะอาศัยอย่างหลวม ๆ ด้วยโครงสร้างที่มีลักษณะคล้ายรากที่เรียกว่า ไรซีน (rhizine) เช่น สกุล Pamotrema, Bulbothrix, Cococarpia เป็นต้น แต่บางชนิดซึ่งไม่มีไรซีน สามารถยึดเกาะกับพื้นที่เกาะอาศัยได้โดยเส้นใยราของชั้นคอร์เทกซ์ด้านล่าง (lower cortex) เช่น สกุล Pyxine, Dirinaria เป็นต้น นอกจากนี้บางชนิดใช้โครงสร้างที่เรียกว่า holdfast เช่น สกุล Umblilicaria, Evernia เป็นต้น ไลเคนกลุ่มนี้มีความหลากหลายน้อยกว่ากลุ่มครัสโตสแต่มีการนำมาใช้ประโยชน์มากที่สุด ส่วนใหญ่สร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแบบ แอโพทิเชียแบบจาน (disc-like apothecia) และสร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศแบบ ซอริเดีย (soredia) และไอซิเดีย (isidia) ด้วย
3. ฟรูติโคส (fruticose) มีลักษณะเป็นเส้นสายหรือเป็นพุ่ม ยึดเกาะกับพื้นที่เกาะอาศัยด้วย holdfast เป็นกลุ่มของไลเคนที่มีความอ่อนไหวต่อมลพิษทางอากาศมากที่สุด ดังนั้นไลเคนกลุ่มนี้จะสามารถพบได้ที่บริเวณยอดเขาสูงซึ่งมีอากาศบริสุทธิ์ มีความหลากหลายชนิดน้อยกว่ากลุ่มครัสโตสและโฟลิโอส สร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศแบบ แอโพทิเชียแบบจาน (disc-like apothecia) และสร้างโครงสร้างสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศแบบ ไอซิเดีย (isidia) และอื่น ๆ
นอกจากนี้แล้ว นักไลเคนวิทยายังแบ่งไลเคนออกไปอีกหลายกลุ่ม เช่น placoid lichen, squamulose lichen, subfruticose, Hair-like, Filamentous lichen, Gelatinous lichen เป็นต้น ซึ่งไลเคนเหล่านี้พบได้น้อยมากเมื่อเทียบกับ 3 กลุ่มด้านบน
Crustose lichen |
Foliose lichen |
Fruticose lichen |
Filamentous lichen |
Squamulose lichen |
Gelatinous lichen |
3. อัตราการเติบโตและอายุขัย (growth rate and longevity)
ไลเคนสามารถเกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้คล้ายกับพืช กลไกการสังเคราะห์ด้วยแสงในไลเคนทั้ง C3 และ C4 ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่ไลเคนส่วนใหญ่แสดงออกในลักษณะของ C3 (Ahmadjian, 1993; Snelgar and Green, 1981; Coxson et al., 1982; Kershaw and Harris, 1971) ในวันปกติไลเคนเกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) เฉพาะในช่วงเช้าเท่านั้น เนื่องจากในช่วงนี้มีปริมาณน้ำในแทลลัสเหมาะสม ความเข้มแสงและอุณหภูมิไม่สูงเกิน เมื่อน้ำหมดไปจากแทลลัสไลเคนจะเข้าสู่สภาวะการพักตัวซึ่งมีเพียงอัตราการหายใจเกิดขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นช่วงเวลาการสร้างอาหารของไลเคนในแต่ละวันประมาณ 2-5 ชั่วโมง เท่านั้น ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้ไลเคนเติบโตได้ช้ามาก โดยปกติการวัดอัตราการเติบโตของไลเคนมักวัดกันในหน่วยของ มม./ปี ซึ่งวิธีการวัดอัตราการเติบโตนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเติบโตของไลเคน เช่น ไลเคนในกลุ่มของครัสโตสและโฟลิโอสบางชนิดกระทำโดยการวัดขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เพิ่มขึ้นในรอบปี ส่วนไลเคนในกลุ่มของฟรูติโคสและกลุ่มโฟลิโอสบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายฟรูติโคสกระทำโดยการชั่งน้ำหนัก อัตราการเติบโตของไลเคนมีความหลากหลายมาก วัดได้ตั่งแต่ 0-64 มม./ปี โดยค่าต่ำสุด 0 มม./ปี วัดได้จากครัสโตสไลเคนชนิด Rhizocarpon geograghicum จาก Alaska (Haworth et al., 1986) ขณะที่ค่าสูงสุด 64 มม./ปี วัดได้จากโฟลิโอสไลเคน ชนิด Peltigera canina จาก South UK (Webster and Brown, 1997)
ปี ค.ศ. 1957 และ 1961 Beschel ประเมินว่าไลเคนบางชนิดมีอายุมากกว่า 4,000 ปี ต่อมา Denton และ Karlen (1973) และ Innes (1988) ประเมินว่าครัสไลเคนในเขตหนาวมีอายุมากถึง 9,000 ปี ด้วยเหตุที่มีอายุยืนยาวนี้ไลเคนจึงถูกนำมาใช้ประเมินอายุของโบราณสถานในพื้นที่เขตหนาวกันอย่างแพร่หลาย และไลเคนที่นิยมนำมาใช้คือไลเคนในสกุล Rhizocarpon (Admadjian and Hale, 1973)
Rhizocarpon geograghicum เติบโตช้าที่สุด |
Peltigera canina เติบโตเร็วที่สุด |